ปฏิจจสมุปบาท มีองค์หรือหัวข้อ ๑๒ (การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน, ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นพร้อม,
การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันๆ จึงเกิดมีขึ้น — Pañicca-samuppàda:
the Dependent Origination; conditioned arising)
๑.–๒. อวิชฺชาปจฺจยา
สงฺขารา เพราะ อวิชชา เป็นปัจจัย สังขาร จึงมี (Dependent on Ignorance arise Kamma-Formations.)
๓. สงฺขารปจฺจยา
วิญฺญาณํ เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณ จึงมี (Dependent on Kamma-Farmations arises Consciousness.)
๔. วิญฺญาณปจฺจยา
นามรูปํ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูป จึงมี (Dependent on Consciousness arise Mind and Matter.)
๕. นามรูปปจฺจยา
สฬายตนํ เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะ จึงมี (Dependent on Mind and Matter arise the Six Sense-Bases.)
๖. สฬายตนปจฺจยา
ผสฺโส เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะ จึงมี (Dependent
on the Six Sense-Bases arises Contact.)
๗. ผสฺสปจฺจยา เวทนา
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนา จึงมี (Dependent
on Contact arises Feeling.)
๘. เวทนาปจฺจยา ตณฺหา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหา จึงมี (Dependent
on Feeling arises Craving.)
๙. ตณฺหาปจฺจยา
อุปาทานํ เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทาน จึงมี (Dependent on Craving arises Clinging.)
๑๐. อุปาทานปจฺจยา ภโว
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพ จึงมี (Dependent
on Clinging arises Becoming.)
๑๑. ภวปจฺจยา ชาติ
เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติ จึงมี (Dependent
on Becoming arises Birth.)
๑๒. ชาติปจฺจยา ชรามรณํ
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ จึงมี (Dependent
on Birth arise Decay and Death.)
โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา
สมฺภวนฺติ
ความโศก
ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม
(There also arise sorrow, lamentation, pain,
grief and despair.)
เอวเมตสฺส
เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ.
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้
จึงมีด้วยประการฉะนี้
(Thus arises this whole mass of suffering.)
แสดงตามลำดับ
จากต้นไปหาปลายอย่างนี้ เรียกว่า อนุโลมเทศนา (teaching in forward order) ถ้าแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น
ว่า ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมี เพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ
สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา (teaching in backward
order)
องค์ (factors) หรือหัวข้อ ๑๒ นั้น
มีความหมายโดยสังเขป ดังนี้
๑. อวิชชา (Avijjà: ignorance) ความไม่รู้
คือไม่รู้ในอริยสัจจ์ ๔ หรือตามนัยอภิธรรมว่า อวิชชา ๘
๒. สังขาร (Saïkhàra: kamma-formations) สภาพที่ปรุงแต่ง
ได้แก่ สังขาร ๓ หรือ อภิสังขาร ๓
๓. วิญญาณ (Vi¤¤àõa: consciousness) ความรู้แจ้งอารมณ์
ได้แก่ วิญญาณ ๖
๔. นามรูป (Nàma-råpa: mind and matter) นามและรูป
ได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ หรือตามนัยอภิธรรมว่า นามขันธ์ ๓ + รูป ขันธ์
๕ (ข้อ ๒, ๓, ๔);
รูป ๒๑, ๒๘; มหาภูต หรือ ภูตรูป ๔;
อุปาทารูป หรือ อุปาทายรูป ๒๔; รูป ๒๒
๕. สฬายตนะ (Saëàyatana: six sense-bases) อายตนะ
๖ ได้แก่ อายตนะภายใน ๖
๖. ผัสสะ (Phassa: contact) ความกระทบ,
ความประจวบ ได้แก่ สัมผัส ๖
๗. เวทนา (Vedanà: feeling) ความเสวยอารมณ์
ได้แก่ เวทนา ๖
๘. ตัณหา (Taõhà: craving) ความทะยานอยาก
ได้แก่ ตัณหา ๖ มีรูปตัณหา เป็นต้น (ตัณหา ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส
ในสัมผัสทางกาย และในธรรมารมณ์) ดู ตัณหา ๓ ด้วย
๙. อุปาทาน (Upàdàna: clinging; attachment) ความยึดมั่น ได้แก่ อุปาทาน ๔
๑๐. ภพ (Bhava: becoming) ภาวะชีวิต
ได้แก่ ภพ ๓ อีกนัยหนึ่งว่า ได้แก่ กรรมภพ (ภพคือกรรม —active process of
becoming ตรงกับ อภิสังขาร ๓ ) กับ อุปปัตติภพ (ภพคือที่อุบัติ — rebirth-process
of becoming ตรงกับ ภพ ๓ )
๑๑. ชาติ (Jàti: birth) ความเกิด ได้แก่
ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลาย การได้อายตนะ
๑๒. ชรามรณะ (Jarà-maraõa: decay and death) ความแก่และความตาย ได้แก่ ชรา (ความเสื่อมอายุ, ความหง่อมอินทรีย์)
กับมรณะ (ความสลายแห่งขันธ์, ความขาดชีวิตินทรีย์)
ทั้ง ๑๒ ข้อ
เป็นปัจจัยต่อเนื่องกันไป หมุนเวียนเป็นวงจร ไม่มีต้นไม่มีปลาย เรียกว่า ภวจักร (วงล้อหรือวงจรแห่งภพ
— Bhava-cakka: wheel of
existence) และมีข้อควรทราบเกี่ยวกับภวจักรอีกดังนี้
ก. อัทธา ๓ (Addhà: periods; times) คือ
กาล ๓ ได้แก่
๑) อดีต
= อวิชชา สังขาร
๒)
ปัจจุบัน = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ
๓) อนาคต
= ชาติ ชรา มรณะ (+ โสกะ ฯลฯ)
ข. สังเขป หรือ
สังคหะ ๔ (Saïkhepa or Saïgaha:
sections; divisions) คือ ช่วง หมวด หรือ กลุ่ม ๔ ได้แก่
๑)
อดีตเหตุ = อวิชชา สังขาร
๒)
ปัจจุบันผล = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา
๓)
ปัจจุบันเหตุ = ตัณหา อุปาทาน ภพ
๔)
อนาคตผล = ชาติ ชรามรณะ (+ โสกะ ฯลฯ)
ค. สนธิ ๓ (Sandhi: links; connection) คือ
ขั้วต่อ ระหว่างสังเขปหรือช่วงทั้ง ๔ ได้แก่
๑)
ระหว่าง อดีตเหตุ กับ ปัจจุบันผล
๒)
ระหว่าง ปัจจุบันผล กับ ปัจจุบันเหตุ
๓)
ระหว่าง ปัจจุบันเหตุ กับ อนาคตผล
ง. วัฏฏะ ๓ หรือ ไตรวัฏฏ์ (วน, วงเวียน, องค์ประกอบที่หมุนเวียนต่อเนื่องกันของภวจักร
หรือสังสารจักร Vañña: the triple round; cycle)
๑)
กิเลสวัฏฏ์ (วงจรกิเลส ประกอบด้วยอวิชชา ตัณหา และอุปาทาน — Kilesa-vañña: round of defilements)
๒)
กรรมวัฏฏ์ (วงจรกรรม ประกอบด้วยสังขารและกรรมภพ — Kamma-vañña: round of kamma)
๓)
วิปากวัฏฏ์ (วงจรวิบาก ประกอบด้วย วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ซึ่งแสดงออกในรูปปรากฏที่เรียกว่า
อุปปัตติภพ ชาติ ชรา มรณะ เป็นต้น — Vipàka-vañña:
round of results) สามอย่างนี้ ประกอบเข้าเป็นวงจรใหญ่แห่งปัจจยาการ
เรียกว่า ภวจักร หรือ สังสารจักร ตามหลักปฏิจจสมุปบาท
จ. อาการ ๒๐ (âkàra: modes; spokes; qualities) คือ องค์ประกอบแต่ละอย่าง อันเป็นดุจกำของล้อ จำแนกตามส่วนเหตุ (causes)
และส่วนผล (effects) ได้แก่
๑)
อดีตเหตุ ๕ = อวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน ภพ
๒)
ปัจจุบันผล ๕ = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา
๓)
ปัจจุบันเหตุ ๕ = อวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน ภพ
๔)
อนาคตผล ๕ = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา
อาการ ๒๐ นี้ ก็คือ
หัวข้อที่กระจายให้เต็ม ในทุกช่วงของสังเขป ๔ นั่นเอง
ฉ. มูล ๒ (Måla: roots) คือ
กิเลสที่เป็นตัวมูลเหตุ ซึ่งกำหนดเป็นจุดเริ่มต้นในวงจรแต่ละช่วง ได้แก่
๑)
อวิชชา เป็นจุดเริ่มต้นในช่วงอดีต ส่งผลถึงเวทนาในช่วงปัจจุบัน
๒) ตัณหา
เป็นจุดเริ่มต้นในช่วงปัจจุบัน ส่งผลถึงชรามรณะในช่วงอนาคต พึงสังเกตด้วยว่า
การกล่าวถึงส่วนประกอบของภวจักรตามข้อ ก. ถึง ฉ. นี้ เป็นคำอธิบายในคัมภีร์รุ่นหลัง
เช่น อภิธัมมัตถสังคหะ เป็นต้น
การแสดงหลักปฏิจจสมุปบาท
ให้เห็นความเกิดขึ้นแห่งธรรมต่างๆ โดยอาศัยปัจจัยสืบทอดกันไปอย่างนี้ เป็น
สมุทยวาร คือฝ่ายสมุทัย ใช้เป็นคำอธิบายอริยสัจจ์ข้อที่ ๒ (สมุทัยสัจจ์) คือ แสดงให้เห็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์
ปฏิจจสมุปบาทที่แสดงแบบนี้ เรียกว่า อนุโลมปฏิจจสมุปบาท (direct Dependent Origination)
การแสดงในทางตรงข้ามกับข้างต้นนี้
เป็น นิโรธวาร คือฝ่ายนิโรธ ใช้อธิบายอริยสัจจ์ข้อที่ ๓ (นิโรธสัจจ์) เรียกว่า
ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท (reverse
Dependent Origination ซึ่งความจริงก็คือ Dependent
Extinction นั่นเอง) แสดงให้เห็นความดับไปแห่งทุกข์
ด้วยอาศัยความดับไปแห่งปัจจัยทั้งหลายสืบทอดกันไป
ตัวบทของปฏิจจสมุปบาทแบบปฏิโลมนี้ พึงเทียบจากแบบอนุโลมนั่นเอง เช่น
๑.–๒. อวิชฺชาย เตฺวว
อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือ สังขารจึงดับ(Through the total fading away and cessation
of ignorance, cease kammaformations.)
๓. สงฺขารนิโรธา
วิญฺญาณนิโรโธ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ (Through the cessation of kamma-formations, ceases
consciousness.) ฯลฯ
๑๒. ชาตินิโรธา
ชรามรณํ เพราะชาติดับ ชรามรณะ (จึงดับ) (Through
the cessation of birth, cease decay and death.)
โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา
นิรุชฺฌนฺติ
ความโศก
ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส ความคับแค้นใจ ก็ดับ
(Also cease sorrow, lamentation, pain, grief
and despair.)
เอวเมตสฺส
เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติ.
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้
ย่อมมีด้วยประการฉะนี้
(Thus comes about the cessation of this
whole mass of suffering.)
นี้เป็น
อนุโลมเทศนา ของปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท ส่วน ปฏิโลมเทศนา ก็พึงแสดงย้อนว่า ชรา มรณะ
เป็นต้น ดับ เพราะชาติดับ ชาติดับเพราะภพดับ ฯลฯ สังขารดับเพราะอวิชชาดับ อย่างเดียวกับในอนุโลมปฏิจจสมุปบาท
ปฏิจจสมุปบาทนี้
มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก ที่สำคัญคือ อิทัปปัจจยตา (ภาวะที่มีอันนี้ๆ เป็นปัจจัย —
Idappaccayatà: specific
conditionality) ธรรมนิยาม (ความเป็นไปอันแน่นอนแห่งธรรมดา, กฎธรรมชาติ — Dhammaniyàma: orderliness of nature; natural law) และ ปัจจยาการ (อาการที่สิ่งทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่กัน — Paccayàkàra:
mode of conditionality; structure of conditions) เฉพาะชื่อหลังนี้เป็นคำที่นิยมใช้ในคัมภีร์อภิธรรม
และคัมภีร์รุ่นอรรถกถา.
ที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)